คณะผู้วิจัยได้ทำการติดตามผลของการให้วัคซีนภูมิแพ้ชนิดรับประทานในผู้ที่แพ้เกสรหญ้าเทียบกับการให้ยาหลอกเพื่อศึกษาผลกระทบต่อความเสี่ยงในการเกิดโรคหืด โดยทำการศึกษาในเด็กอายุระหว่าง 5-12 ปีจำนวน 812
ราย
ที่มีประวัติเป็นโรคจมูกและตาอักเสบจากภูมิแพ้จากเกสรหญ้าที่ยังไม่มีอาการของโรคหืด
มาเข้าอยู่ในการวิจัยชนิดสุ่ม (randomized, double-blind,
placebo-controlled trial) เพื่อรับวัคซีนภูมิแพ้เป็นเวลา 3 ปี และติดตามผลต่อเนื่องอีก 2
ปี
ผลการวิจัยพบว่าไม่มีความแตกต่างของช่วงระยะเวลาที่ติดตามจนเกิดโรคหืด
แต่พบว่าการให้วัคซีนภูมิแพ้ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอาการหืดและการใช้ยารักษาโรคหืดอย่างมีนัยสำคัญเมื่อประเมินที่เมื่อสิ้นสุดการให้วัคซีน
(odd
ratio=0.66, p<0.036), ระหว่าง 2 ปีที่ติดตามหลังหยุดให้วัคซีน
และเมื่อสิ้นสุดการติดตามผู้ป่วยที่ระยะเวลา 5 ปี โดยพบว่าผู้ป่วยจมูกและตาอักเสบจากภูมิแพ้มีอาการลดลง
22.30% (P<0.005 ตลอดเวลา 5 ปี) เมื่อสิ้นสุดการวิจัย ผู้ได้รับวัคซีนมีการใช้ยารักษาภูมิแพ้ลดลง
27% เมื่อเทียบกลับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (P<0.001)
และมีระดับของ serum total IgE และผลการทดสอบภูมิแพ้เกสรหญ้าที่ผิวหนังเป็นบวกน้อยลงเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก
ผลการวิจัยนี้สรุปได้ว่า การรักษาด้วยวัคซีนภูมิแพ้ชนิดรับประทานสามารถลดความเสี่ยงของอาการหืดและการใช้ยารักษาโรคหืด
และมีผลดีต่ออาการทางคลินิกและอัตราการใช้ยาของผู้ป่วยโรคจมูกและตาอักเสบจากภูมิแพ้